หากคุณกำลังมองหาการลงทุนเปิดธุรกิจใหม่ ระหว่าง ร้านกาแฟ/คาเฟ่ กับ ร้านนวด ธุรกิจไหนที่เหมาะกับคุณมากกว่ากัน? บทความนี้จะช่วยคุณเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของทั้งสองธุรกิจ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
1. ทำเลที่ตั้ง
ร้านกาแฟ: เหมาะกับทำเลที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ใกล้สำนักงาน โรงเรียน หรือห้างสรรพสินค้า ยิ่งอยู่ในแหล่งชุมชนที่มีคนเดินผ่านเยอะ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น แต่หากคุณไม่มีโลเคชั่นที่คนเดินผ่านไปมาเยอะ คุณจะต้องเข้าร่วม Application Food Delivery อย่างเช่น Grab, Lineman แลพ Food Panda เพื่อให้ร้านของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งนี้ต้องอย่าลืมเพื่อต้นทุนที่จะโดนช่องทางเหล่านี้หักค่าคอมมิชชั่นด้วย โดยอาจจะเผื่อไว้ 20-30% ของราคาขาย
ร้านนวด: ธุรกิจนวดยังเป็นธุรกิจที่พึ่งพานักท่องเที่ยวเป็นหลัก ดังนั้นเหมาะกับทำเลที่มีนักท่องเที่ยว เช่นใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และ ทะเล เป็นต้น แต่หากต้องการเน้นกลุ่มลูกค้าคนไทย จะต้องหาทำเลที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่น ยิ่งถ้ามีหมู่บ้าน หรือ คอนโด ในบริเวณใกล้เคียงจะยิ่งดี และต้องคิดเผื่อช่วงเวลาที่ไม่มีลูกค้าด้วยว่าจะบริหารจัดการอย่างไร เพราะคนส่วนมากจะมานวดแค่ช่วงเย็นหลังเลิกงาน หรือ เสาร์ อาทิตย์
2. การขอใบอนุญาต
ร้านกาแฟ: ควรมีการจดทะเบียนพาณิชย์ หรือทะเบียนการค้า ให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากต้องการขายแอลกอฮอล์หรืออาหารบางประเภท อาจต้องมีใบอนุญาตเพิ่มเติม สามารถอ่านต่อได้ที่เวปไซต์นี้
ร้านนวด: ต้องขอใบอนุญาตจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และต้องมีพนักงานที่ได้รับการรับรอง มีข้อกำหนดเรื่องสุขอนามัยที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่นระยะห่างของเตียง การติดสัญญาณไฟไหม้ และป้ายเตือนต่างๆในร้าน เป็นต้น
3. การจ่ายค่าตอบแทนพนักงาน
ร้านกาแฟ: ร้านคาแฟส่วนมากจะจ่ายเป็นค่าตอบแทนรายเดือน หรือ รายวัน ให้แก่พนักงานที่มาทำงานที่หน้าร้าน โดยจะเป็นค่าตอบแทนที่ตายตัว เช่น ค้าจ้างรายวัน 600 บาท หรือ เงินเดือน 15,000 บาท เป็นต้น
ร้านนวด: พนักงานหรือหมอนวด จะมีค่าตอบแทนประกอบไปด้วย 2 ส่วนด้วยกัน คือ
1. ประกันมือ หมายถึง เงินการันตีขั้นต่ำที่หมอนวดจะได้หากมาทำงานในวันนั้นๆ
2. ค่ามือ หมายถึง ค่าตอบแทนที่ได้ต่อชั่วโมงในการนวด โดยแต่ละบริการอาจจะได้ไม่เท่ากัน
4. ความท้าทายของธุรกิจ
ร้านกาแฟ: ตลาดมีการแข่งขันสูง ทำให้ร้านใหม่ที่เปิดต้องมีจุดขายและเอกลักษณ์ของร้านเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยอาจจะเป็นบรรยากาศของร้าน รสชาติของกาแฟและฝีมือการชงกาแฟของบาริสต้า ทั้งนี้ต้องมีการเสริมเมนูอื่นๆนอกจากกาแฟ เพราะคนส่วนมากจะดื่มกาแฟเฉพาะช่วงเช้าและกลางวัน ทำให้ร้านต้องมีเมนูอื่นมาเสริมในช่วงบ่ายและเย็น เช่น โกโก้ ชาเขียว หรือเมนูอิตาเลียนโซดา
ร้านนวด: การหาหมอนวดถือเป็นความท้าทายอันดับต้นๆของธุรกิจนี้ เพราะหมอนวดขาดตลาด และหมอนวดดีๆ มีโอกาสไปทำงานต่างประเทศที่ได้รายได้มากกว่าการอยู่ที่ไทย ดังนั้น เจ้าของธุรกิจต้องมีพาร์ทเนอร์ที่สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ เช่นการพาร์ทเนอร์หรือขอความร่วมมือกับสถาบันสอนนวด หรือการโฆษณาอย่างต่อเนื่องในแพลทฟอร์มที่หมอนวดติดตามกันเยอะๆ เช่นช่อง Tiktok: Gap ThaiHand Massage หรือ เพจเฟซบุ๊คที่หมอหมอนวดติดตาม เช่น ThaiHand Business เป็นต้น
หากคุณมีใจรักในกาแฟและการบริการลูกค้า ร้านกาแฟหรือคาเฟ่อาจเหมาะกับคุณ แต่หากคุณสนใจด้านสุขภาพ การดูแลร่างกาย และต้องการธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตระยะยาว ร้านนวดอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ทั้งนี้ควรจะเริ่มต้นจากความชอบของคุณ เพราะหากคุณตัดสินใจลงทุนอันใดอันหนึ่งแล้ว คุณจะต้องอยู่กับธุรกิจนั้นๆไปอีกหลายปี กว่าธุรกิจจะเริ่มลงตัว
ทางไทยแฮนด์ มาสสาจ มีบริการให้คำปรึกษาครบวงจรสำหรับคนที่อยากเปิดร้านนวด เราช่วยดูแลตั้งแต่การศึกษาตลาด การคำนวณการคืนทุน การขอใบอนุญาต การจัดซื้อเตียงนวด และอุปกรณ์ต่างๆเข้าร้าน การหาและอบรมหมอนวด รวมไปถึงการติดตั้งระบบ POS ที่ทางเราพัฒนาขึ้นมาเองเพื่อธุรกิจนวดโดยเฉพาะ หากต้องการพูดคุยกับเราเพิ่มเติม สามารถ แอดไลน์: @thaihandbusiness หรือกรอกข้อมูลด้านล่างเพื่อพูดคุยกับผู้บริหารของเราได้เลย