5 เหตุผลหลักที่คนอยากเปิดร้านนวด - 5P
P ที่ 1: Pain — ความเจ็บปวดที่อยากเปลี่ยนชีวิต
หลายธุรกิจที่ยิ่งใหญ่เริ่มจาก “ความเจ็บปวด” ในชีวิตเล็กๆของใครบางคน หรือพูดง่าย ๆ ว่า
จุดเริ่มต้นของการทำร้านนวดของหลายคน มาจากการที่ชีวิตในปัจจุบันไม่มีความสุข
บางคน เบื่อ กับงานประจำที่ไม่มีอิสระ
บางคน เหนื่อย กับเจ้านายที่มีนิสัยเป็นพิษ
บางคน เจ็บใจ จากคำดูถูก ว่าคนอย่างเราทำธุรกิจอะไรก็ไม่สำเร็จหรอก
บางคน ไม่อยากสืบต่อกิจการที่บ้าน เพราะอยากพิสูจน์เส้นทางของตัวเอง
บางคน กลัวความจน จึงอยากหาช่องทางเพิ่มรายได้
และบางคนก็แค่… หาร้านนวดดี ๆ แถวบ้านไม่ได้ เลยอยากเปิดไว้นวดเองซะเลย
ไม่ว่าจะเริ่มจากความเบื่อ ความกลัว หรือความแค้น
แรงผลักจาก “Pain” เหล่านี้อาจดูเหมือนด้านลบ
แต่จริง ๆ แล้วมันคือ เชื้อเพลิงชั้นดีของการเปลี่ยนชีวิต
เพราะ Pain จะทำให้คุณ ไม่อยากกลับไปมีชีวิตที่ไม่มีความสุขแบบเดิมอีกแล้ว และนั่นแหละคือพลังที่จะทำให้คุณอดทนแก้ปัญหาที่จะเจอในธุรกิจนวดได้นานกว่าคนอื่นๆ
P ที่ 2: Passion — ความหลงใหลในศาสตร์แห่งการนวด

บางคนหลงใหลในศาสตร์ของการนวด
บางคนหลงใหลใน “การให้บริการ”
บางคนแค่มีความสุขเวลาได้เห็นลูกค้ายิ้มหลังใช้บริการเสร็จ
.
เขาจินตนาการเห็นภาพร้านของตัวเองเป็น “พื้นที่แห่งการพักผ่อน” ที่คนเข้ามาแล้วได้พักทั้งกาย ใจ และ จิต และอยากส่งต่อพลังบวกให้คนอื่น ผ่านบรรยากาศ กลิ่น เสียง และรสมือของหมอนวด
ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่จำไม่เคยลืม
พี่มีเงิน แต่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร พี่รู้แค่ว่าพี่ชอบงานบริการ พี่ชอบนวด
นี่คือเสียงจากหลายคนที่มาอบรมกับเรา
พวกเขาไม่ได้เปิดร้านนวดเพราะอยากรวย
แต่อยากเปิดร้านเพื่อสะท้อนตัวตนของตัวเอง
คนกลุ่มนี้จะใส่ใจในทุกดีเทล ตั้งแต่เสียงเพลง กลิ่น การจัดแสง การตกแต่ง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ เทคนิคการนวด จนถึงอาหารและเครื่องดื่มในร้าน คนกลุ่มนี้จะลงทุนแบบจัดเต็ม งบไม่จำกัด เพื่อให้ร้านนวดสะท้อนตัวตนของตัวเองมากมาได้ชัดเจนที่สุด
เหมือนการบอกโลกว่า “นี่คือร้านนวดที่อยากให้คนทั้งโลกได้สัมผัส”
สำหรับคนกลุ่มนี้ “ร้านนวด” ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่มันคือ งานศิลปะที่ใช้ใจปั้นขึ้นมา
P ที่ 3: Profit — อยากสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน
บางคนเข้ามาทำร้านนวดเพราะมองเห็น “โอกาสทางธุรกิจ”
พวกเขาอาจจะไม่ได้ชอบนวด
แต่ที่แน่ ๆ คือ “ชอบเงิน” (มีใครไม่ชอบบ้าง ฮ่าๆ)
เพราะร้านนวดคือธุรกิจที่ เงินสดหมุนเร็ว
ลูกค้าจ่ายทันที ไม่ค่อยมีเครดิต ไม่มีลูกหนี้ให้ปวดหัว
โดยทั่วไป กำไรสุทธิของร้านนวดควรอยู่ที่ 20% ขึ้นไป
ร้านที่ผมเคยดูแล บางแห่งคืนทุนได้ภายใน 6 เดือน
บางร้านขยายจาก 1 สาขาเป็น 3 สาขาในเวลาแค่ปีเดียว
เพราะกระแสเงินสดดีมาก
ยิ่งถ้าร้านไหนมีการขาย “เมมเบอร์”
ให้ลูกค้าเติมวงเงินไว้ล่วงหน้า
กระแสเงินสดก็จะดีขึ้นอีกระดับ
คุณสามารถเอาเงินสดนั้นไปต่อยอดได้ เช่น เปิดสาขาเพิ่ม ลงทุนผลิตของมาขายในร้าน
แต่ขอเตือนไว้นิดนึงว่า
การขายเมมเบอร์เป็น “ดาบสองคม”
เพราะแม้มันจะเพิ่มเงินสดในมือคุณทันที
แต่มันคือ “หนี้ในอนาคต” ที่คุณต้องใช้ด้วยการให้บริการลูกค้า
เคยมีหลายร้านได้เงินจากเมมเบอร์ก้อนใหญ่
แต่บริหารพลาด ทำให้เงินหมดก่อนลูกค้ามาใช้บริการ
สุดท้ายต้องปิดร้านกลางทาง แล้วกลายเป็นคดีที่ลูกค้าไปฟ้องธนาคาร
จนทุกวันนี้ หลายธนาคาร ไม่ปล่อยเครื่องรูดบัตรให้ร้านนวดสปา
ถ้าไม่มีเงินค้ำ หรือหลักฐานว่าทำกำไรมากกว่า 2 ปี
ดังนั้น ต่อให้กระแสเงินสดจะดีแค่ไหน
อย่าหลงกับตัวเลขในบัญชี ถ้ามันมาจากการขายเมมเบอร์
เพราะ ยอดเงินที่โอนเข้าบัญชีคุณไม่ใช่กำไร แต่คือหนี้ที่คุณติดลูกค้า
P ที่ 4: Partner — ทำเพราะคนที่เรารัก
เจ้าของร้านนวดหลายคนไม่ได้อยากเปิดร้านนวดเองหรอก
แต่อยากทำให้ “ใครบางคนที่เขารัก” มีความสุข
บางคนเปิดร้านให้แฟน เพราะอยากให้แฟนมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
บางคนมีคุณแม่เป็นหมอนวด อยากเปิดร้านให้แม่ได้ทำในสิ่งที่ถนัด
บางคนเพื่อนสนิทชวน แล้วคิดว่า “ลองทำด้วยกันก็คงสนุกดี”
แรงผลักจากความรักมันอบอุ่นมากครับ
มันให้พลัง ให้กำลังใจ และทำให้คุณพร้อมสู้กับทุกอย่าง
แต่ในอีกมุมหนึ่ง…มันก็อันตรายเหมือนกัน
เพราะ “ความรัก” กับ “ธุรกิจ” ใช้กติกาคนละแบบ
ผมเคยเจอหลายเคสที่ตอนเริ่ม ทุกอย่างเหมือนฝัน
แต่พอเวลาผ่านไป ร้านเริ่มมีปัญหา ก็เริ่มมีเสียงแบบนี้ออกมา…
“ทำไมเราทำมากกว่า แต่ได้เงินเท่ากัน?”
“เรื่องส่วนตัวกลายเป็นเรื่องร้าน เรื่องร้านกลายเป็นเรื่องส่วนตัว”
สุดท้ายจากคู่รักกลายเป็นคู่ขัดแย้ง
จากเพื่อนกลายเป็นศัตรู
เพราะสิ่งที่ลืมคุยกันตั้งแต่แรกคือ “ขอบเขตการทำงานที่ชัดเจน”
ความรักต้องการ “ความไว้ใจ” แต่ธุรกิจต้องการ “ความชัดเจน”
ดังนั้น ถ้าคุณกำลังจะเปิดร้านกับใครสักคน
ผมอยากฝากแนวคิดในการบริหารง่าย ๆ ที่ผมเรียกว่า 3 แยก
- แยกบทบาท : ใครทำอะไร ใครตัดสินใจเรื่องไหน
กำหนดความชัดเจนก่อนเริ่ม จะช่วยลดการทะเลาะภายหลัง - แยกเงิน : เงินร้านไม่ใช่เงินเรา เงินเราก็ไม่ใช่เงินร้าน
อย่าหยิบปนกัน แม้แต่ 1 บาท - แยกอารมณ์ : ถ้าทะเลาะกันเรื่องส่วนตัว ห้ามเอามาปนกับเรื่องงาน
บางที่สร้างกติการ่วมกันว่าจะไม่คุยเรื่องงานที่บ้าน และจะไม่คุยเรื่องส่วนตัวที่ร้าน
ถ้าแยกสามอย่างนี้ไม่ได้ อาจจะต้องไปแยกที่ 4 นั่นคือ แยกย้าย ครับ
แรงผลักจาก Partner เป็นพลังที่ดีมาก เพราะมันทำให้คุณมี “เหตุผลที่จะไม่ยอมแพ้”
แต่พลังนี้จะมีค่าจริง ก็ต่อเมื่อคุณจัดระบบให้ความสัมพันธ์อยู่รอดได้ เพราะ
“ธุรกิจที่ดี ต้องไม่ทำลายความสัมพันธ์ที่ดี”
P ที่ 5: Profession — ต่อยอดทักษะจากสิ่งที่ตัวเองถนัด

กลุ่มนี้คือคนที่มีแต้มต่อที่สุดในการทำร้านนวด
.
เพราะเขาไม่ได้เริ่มจากศูนย์
แต่เริ่มจาก “ความเข้าใจในงานบริการ”
บางคนเป็นหมอนวดมาก่อน
พอเปิดร้านของตัวเอง เขาจะรู้เลยว่าควรเลือกหมอแบบไหนมาร่วมทีม
ควรจัดตารางคิวยังไงให้หมอไม่ล้า และควรให้บริการแบบไหนที่ลูกค้าจะกลับใช้บริการซ้ำ
.
บางคนมาจากสายบริการอื่น เช่น โรงแรม หรือ ร้านอาหาร
พวกเขาเข้าใจคำว่า “งานบริการ” ดีกว่าคนทั่วไป
.
และที่ผมเจอบ่อยคือ เจ้าของร้านที่เคยเป็น พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
พวกเขาผ่านการอบรม และทดสอบอย่างเข้มข้น ทั้งเรื่องมารยาท การพูด การดูแล การเสิร์ฟอาหาร และความปลอดภัยในการให้บริการ
.
บางร้านที่เจ้าของเป็นอดีตแอร์โฮสเตส เขาสามารถนำความรู้เรื่องการทำคู่มือมาตรฐานการให้บริการ หรือเราเรียกกันว่า Standard Operating Procedure (SOP) มาปรับใช้ในร้านนวดได้ ตั้งแต่คำพูดต้อนรับ การเสิร์ฟชา การโค้งขอบคุณ ไปจนถึงวิธีส่งลูกค้ากลับ
อยากเปิดร้านนวด เริ่มต้นได้ด้วย 3P
เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้
คุณคงเห็นแล้วว่าทุกคนมี “เหตุผลของตัวเอง” ในการเริ่มต้น
.
บางคนเริ่มจาก Pain ที่อยากเปลี่ยนชีวิตในปัจจุบันที่ไม่มีความสุข
บางคนเริ่มจาก Passion ที่อยากทำสิ่งที่ตัวเองหลงใหล
บางคนขับเคลื่อนด้วย Profit เพราะอยากสร้างความมั่นคง
บางคนทำเพื่อ Partner ที่เขารักและอยากสนับสนุน
และบางคนอยากต่อยอดจาก Profession เดิมที่ตัวเองถนัด
.
จากประสบการณ์ของผมคุณควรจะมี P สัก 3 ตัว เพราะระหว่างทาง คุณจะเจอปัญหามากมายและถ้าเหตุผลในการเริ่มต้นทำธุรกิจนวดของคุณไม่แข็งแรงพอ คุณจะไม่สามารถทำธุรกิจร้านนวดได้อย่างยั่งยืน
ขอให้คุณประสบความสำเร็จและมีความสุขกับการเป็นเจ้าของร้านนวดนะครับ