เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาเจ็บ ปวด แสบ หรือร้อน เราถึงต้องเอามือไปจับ กด หรือบีบไว้
ในประเทศญี่ปุ่นเรียกศาสตร์การสัมผัสหรือการกดจุดแบบนี้ว่า “จินชินจีอัตสึ” (Jin Shin Jyutsu) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เก่าแก่หลายพันปี โดยเชื่อว่าในร่างกายเรานั้นเต็มไปเส้นทางให้พลังงานเดินทางไปยังเซลล์หรืออวัยวะต่างๆ ของร่างกายหากการเดินทางนี้สะดุดลง ตัวเราก็จะเกิดสิ่งผิดปกติไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย อารมณ์ หรืออาการป่วยต่างๆ
จินชินจีอัตสึ (Jin Shin Jyutsu): ภูมิปัญญานับสหัสวรรษ
จินชินจีอัตสึ (Jin Shin Jyutsu) เป็นศิลปะแห่งการรักษาโบราณผ่านการสร้างสมดุลให้ร่างกายด้วยสัมผัสอย่างอ่อนโยน คำว่า “จินชินจีอัตสึ” นั้นมาจากภาษาญี่ปุ่น หากแปลตรงตัวแล้ว
จิน แปลว่า มนุษย์ผู้รู้และมีความเห็นใจ
ชิน แปลว่า ผู้สร้างสรรค์
และ จีอัตสึ แปลว่า ศิลปะ
ดั้งนั้น จึงอาจแปลได้ว่า
จินชินจีอัตสึคือ ศิลปะของผู้สร้างสรรค์โดยผ่านมนุษย์ผู้มีความรู้และความเห็นใจ
จินชินจีอัตสึมีลักษณะคล้ายการกดจุด กล่าวคือเป็นการใช้สัมผัสอันแผ่วเบาส่วนต่างๆ เพื่อสร้างสมดุลให้แก่การไหลเวียนของพลังงานในร่างกาย โดยทฤษฎีได้ระบุว่าในร่างกายของคนเรานั้นมีพลังงานชีวิตไหลเวียนอยู่ และมีจุดที่อาจเกิดการติดขัดขึ้นได้ 26 จุดเท่านั้น จินชินจีอัสสึจะวางมือลงบนร่างกายของผู้บำบัด 2 จุดเพื่อเป็นการใช้ร่างกายของผู้ให้การบำบัดเป็นสะพานเชื่อมนำพลังงานจากจุดหนึ่ง มายังจุดที่ติดขัดเพื่อทลายการอุดตันของพลังงานและให้การไหลเวียนดำเนินไปได้โดยไม่มีสะดุด
ประวัติความเป็นมา
จินชินจีอัตสึนั้นมีประวัติความเป็นมายาวนานยิ่งกว่าพระพุทธศาสนาโดยเริ่มต้นมาจากแถบประเทศทิเบต จีน แล้วจึงมายังเกาะญี่ปุ่นโดยเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น และปรากฎเป็นรายลักษณ์อักษรตามวัดนิกายชินโต จินชินจีอัตสึนี้ค้นพบโดยนักปรัชญาชาวญี่ปุ่นชื่อว่า จิโร มูราอิ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1900 โดยท่านจิโรในวัย 26 ปีนั้นเกิดป่วยหนักจนไม่สามารถรักษาได้อีก ท่านได้ให้ญาติพาขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อทำสมาธิตามนิกายเซ็น โดยบอกว่าให้มารับศพท่านหลังครบ 7 วัน แต่ทว่าเมื่อถึงวันที่ 7 จากร่างกายที่หนาวสะท้านกลับกลายเป็นร้อนผ่าวผิดปกติและหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นท่านจึงพบว่าตนหายจากอาการป่วยแล้ว และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาค้นคว้าจินชินจีอัตสึ
ท่านได้อุทิศชีวิตกว่า 34 ปีในการศึกษา ทำสมาธิ ฝึกจิตจนค้นพบพลังงานที่ไหลเวียนภายในร่างกายและได้ถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์หลักอย่าง แมรี อิโน เบอร์ไมสเตอร์ (Mary Ino Burmeister) ลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกันที่เกิดในเมืองซีแอ็ตเทิ้ล ในวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เธออยากจะเป็นล่ามทำงานในองค์การสหประชาชาติและได้เดินทางไปเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วเธอก็ได้พบกับชายคนที่ชื่อ จิโร มูราอิ โดยบังเอิญในตอนปลายทศวรรษที่ 1940 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ของเธอและท่านจิโรตลอด 5 ปีที่ญี่ปุ่น
ณ ปัจจุบัน การทำจินชินจีอัตสึได้แพร่หลายไปไกลทั่วโลกและเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง UK HealthCare ได้นำจินชินจีอัตสึไปใช้ในการรักษาคนไข้ตั้งแต่ปี 2011 โดยในปัจจุบันได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยรักษาและฟื้นฟูสภาพจิตใจคนไข้ในประเทศอังกฤษ นอกจากนี้ Markey Research Day ยังได้รับทุนสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกัจินชินจีอัตสึเพิ่มเติมอีกด้วย
การทำจินชินจีอัตสึบนนิ้วมือทั้ง 5 ด้วยตนเอง
เพียงใช้นิ้วมือทั้ง 4 กุมไว้ที่นิ้วใดนิ้วหนึ่งเป็นเวลา 4-5 นาที หายใจเข้า-ออกลึกๆ อย่างสม่ำเสมอ จากนั้น สลับข้างทำเช่นเดิม เพื่อเป็นการปรับสมดุลพลังงานที่ส่งไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยแต่ละนิ้วจะให้ผลลัพธ์ต่างๆ ดังนี้
นิ้วโป้ง – ช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในจิตใจ
นิ้วชี้ – ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายโดยเฉพาะไต นอกจากนี้ยังช่วยลดความกลัว และอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อต่างๆ
นิ้วกลาง – ช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะบรรเทาอาการเหนื่อยล้าได้ดี
นิ้วนาง – ช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหาร ทั้งยังช่วยบรรเทาความเศร้าได้อีกด้วย
นิ้วก้อย – ช่วยระบบประสาทและสมอง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี ทั้งยังทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย
นอกจากนี้ การใช้นิ้วหัวแม่มือจับที่บริเวณกึ่งกลางฝ่ามือ ยังเป็นการช่วยปรับสมดุลในร่างกาย รวมไปถึงช่วยแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียรได้ดี
แหล่งที่มา:
https://www.jinshininstitute.com/jin-shin-jyutsu/history
https://medschool.ucsd.edu/som/fmph/research/cim/clinicalcare/Pages/jinshinjyutsu.aspx