น้ำมันนวดในตลาดมีตั้งแต่ราคาลิตรละ 100 บาท จนไปถึงลิตรละ 3,000 บาท เคยสงสัยไหมว่าแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไร เดี๋ยววันนี้ ThaiHand จะมาเล่าให้ฟังว่าในน้ำมันนวด 1 หยดประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และแต่ละส่วนประกอบมีผลยังไงต่อราคา
โดยทั่วไปแล้วในน้ำมันนวด 1 หยด จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆด้วยกัน ได้แก่
- Base หรือน้ำมันพื้นฐาน
- Aroma หรือกลิ่นของน้ำมัน
- Supplements หรือสารปรุงแต่งอื่นๆ
1. Base หรือน้ำมันพื้นฐาน
เริ่มกันที่ Base หรือน้ำมันพื้นฐานในน้ำมันนวด โดยส่วนมากแล้วจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่สกัดมาจากธรรมชาติ (Natural) เช่นน้ำมันรำข้าว น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันแมคคาเดเมีย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันโจโจบา และน้ำมันมะกอก เป็นต้น และกลุ่มน้ำมันแร่ (Mineral Oil) ที่ได้มาจากการสกัดน้ำมันปิโตรเลียมที่มาจากใต้พื้นดินของผิวโลก เป็นน้ำมันที่ใส ไร้กลิ่นและเป็นส่วนผสมที่มักพบได้ในเครื่องสำอาง
Base น้ำมันที่มาจากธรรมชาติจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่นน้ำมันอัลมอนด์จะช่วยเรื่องการลดรอยแดงจากผื่นแพ้ น้ำมันแมคคาเดเมียจะช่วยลดความหย่อนคล้อย และน้ำมันโจโจบาจะช่วยลดการอักเสบ และผิวแตกลาย เป็นต้น ในทางกลับกัน Base น้ำมันแร่จะเน้นให้ความนุ่มลื่นกับผิวเป็นหลักแต่อาจจะไม่ได้มีสรรพคุณด้านอื่นๆเพิ่มเติม
สำหรับเจ้าของร้านนวด คุณควรจะเลือกน้ำมันนวดพื้นฐานจาก 2 มุมมองด้วยกัน มุมมองแรกคือกลุ่มลูกค้าของคุณเป็นกลุ่มไหน เป็นกลุ่มพรีเมียมที่กำลังซื้อสูง หรือเป็นลูกค้าที่เน้นความคุ้มค่าของราคาเป็นหลัก มุมมองที่สองคือตัวตนของแบรนด์ของคุณว่าคุณจะสร้างแบรนด์แบบไหน ตัวเกรดน้ำมันที่คุณเลือกมาใช้ก็จะสามารถสะท้อนถึงตัวตนของแบรนด์ของคุณได้เหมือนกัน
อย่าลืม! ลูกค้าบางคนอาจจะแพ้ถั่ว ดังนั้นหากน้ำมันพื้นฐานของคุณสกัดมาจากถั่ว คุณควรจะมีน้ำมันตัวอื่นสำรองไว้ด้วย และต้องถามลูกค้าการให้บริการถูกครั้งถึงสิ่งที่ลูกค้าอาจจะแพ้ได้
ตัว Base น้ำมันจึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของน้ำมันเป็นอย่างมาก เพราะหากเราต้องการน้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวด้วย ย่อมมีราคาแพงกว่าน้ำมันแร่อยู่แล้ว โดยทางร้านสามารถคำนวณต้นทุนได้ง่ายๆด้วยสูตรนี้คือ “ลูกค้า 1 คนจะใช้น้ำมันในการนวดประมาณ 40 มิลลิลิตร” ดังนั้นน้ำมัน 1 ลิตรที่ราคา 500 บาท จะสามารถให้บริการลูกค้าได้ประมาณ 25 คน ทำให้ต้นทุนของน้ำมันนวดของเราจะอยู่ที่ประมาณ 20 บาท ต่อลูกค้า 1 คนนั่นเอง
2. Aroma หรือกลิ่นของน้ำมัน
ในส่วนกลิ่นของน้ำมันก็สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆเหมือนกัน คือกลิ่นที่สกัดมาจากธรรมชาติ (Essential Oil) กับกลิ่นน้ำหอมที่สกัดมาจากกระบวนการทางเคมี (Fragrance Oil) โดยสามารถดูข้อดีข้อเสียได้ตามตารางด้านล่าง
เช่นเดียวกับตัวฐานน้ำมัน กลิ่นที่สกัดมาจากธรรมชาติย่อมมีราคาที่สูงกว่ากลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นมาอยู่แล้ว
สำหรับผู้ประกอบการร้านนวด การที่เราใช้กลิ่นที่สกัดมาจากธรรมชาติจะทำให้เราอธิบายลูกค้าเพิ่มเติมถึงเรื่องสรรพคุณในการบำบัดได้ ว่าการที่ลูกค้าสูดกลิ่นน้ำมันนวดเข้าไป จะสามารถช่วยบรรเทาอาการบางอย่างได้ เช่น อาการเวียนหัว อาการคัดจมูก หรืออาการนอนไม่หลับ เป็นต้น
3. Supplements หรือสารปรุงแต่งอื่นๆ
โดยทั่วไปแล้ว น้ำมันนวดเกรดพรีเมียมจะนิยมใส่วิตามินอี (Vitamin E) ลงไป เพราะนอกจากจะช่วยในเรื่องการของผิวกระจ่างใสแล้ว ตัววิตามินอียังช่วยให้ตัวน้ำมันไม่มีกลิ่นอับหรือกลิ่นเหม็นหืนอีกด้วยหากเก็บไว้เป็นเวลานาน หรืออีกสารปรุงแต่งที่คนนิยมใส่กันลงไปในน้ำมันคือคอลลาเจน (Collagen) ที่ช่วยลดอาการหย่อนคล้อยของผิว และทำให้ผิวดูแข็งแรง ซึ่งแน่นอนว่าการเติมสารเหล่านี้เพิ่มเติมลงไปในน้ำมันนวดย่อมมีผลต่อต้นทุนที่สูงขึ้นอยู่แล้ว
ผู้อ่านน่าจะพอเข้าใจแล้วว่าทำไมน้ำมันนวดในตลาดถึงมีราคาที่หลากหลาย สาเหตุหลักๆมาจากวัตถุดิบในน้ำมันนวด 3 อย่างด้วยกันที่มีต้นทุนและคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป
อย่างไรก็ตามหากคุณเป็นผู้ประกอบการร้านนวดที่กำลังมองหาน้ำมันนวดอยู่ ทาง ThaiHand แนะนำให้ขอตัวอย่างน้ำมันจริงจากผู้ขายมาให้หมอนวดในร้านทดลองใช้นวดจริง เพราะนอกจาก Base ที่ดี และกลิ่นที่หอมแล้ว เรายังต้องพิจารณาถึงการดูดซึมของน้ำมันที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าของร้านเราอีกด้วย
ตอนนี้ทาง ThaiHand เองก็ได้มีการจับมือกับผู้ผลิตน้ำมันนวดมาตรฐานสากลหลายเจ้า นำความรู้มาพัฒนาน้ำมันนวดเกรดพรีเมียม ผลิตและจำหน่ายในราคาที่จับต้องได้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการร้านนวด หากสนใจสามารถติดต่อ LineOA: @thaihandmassage มาได้เลย
