ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสาวหน้าใหม่ อยากลองแช่ออนเซ็นดูซักครั้ง หรือจะเป็นขาประจำที่คิดถึงฟีลลิ่งญี่ปุ่นจ๋าๆ ก็เรียนเชิญกันมาอ่านบทความนี้เลยจ้า เพราะวันนี้ Thaihand Massage จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า ออนเซ็น (Onsen) รวมทั้งยังรีวิว เปรียบเทียบออนเซ็น 4 เจ้าดังในกรุงเทพ อย่าง Yunomori Onsen, Panpuri Wellness, Let’s Relax Onsen และ Kashikiri Onsen กับแบบหมดเปลือก อ่านเว็บเดียว รู้เรื่อง!
ออนเซ็น (Onsen) คืออะไร?
Onsen หรือ ออนเซ็น หรือ อนเซ็น แน่นอนว่าเป็นคำทับศัพท์ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “น้ำพุร้อน” โดยเกิดมาจาก 2 คำมารวมกัน กล่าวคือ คำว่า “ออน (On)” ที่แปลว่า “ร้อน” กับคำว่า “เซน (Sen)” ซึ่งหมายถึง “น้ำพุ” โดยออนเซ็นนั้นเป็นวัฒนธรรมการอาบน้ำของชาวญี่ปุ่นที่มีมาเนิ่นนาน ซึ่งเกิดขึ้นมาจากการที่ประเทศญี่ปุ่นมีภูเขาไฟมากมายที่ยังไม่ดับอยู่หลายลูก ทำให้มีน้ำแร่ที่มีคุณสมบัติพิเศษรักษาโรคหลายประการทั้งยังให้ความอบอุ่นผ่อนคลายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
แช่ออนเซ็นต้องแก้ผ้าหรือเปล่า?
ปกติตามธรรมเนียมของทางญี่ปุ่นแล้ว ออนเซ็นจะต้องแก้ผ้าออกทั้งหมด นำเข้าได้เพียงผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดทำความสะอาดร่างกายเท่านั้น แต่สำหรับภายในเมืองไทย จะขึ้นอยู่กับความเคร่งครัดของแต่ละสถานที่ โดยส่วนใหญ่แล้วออนเซ็นในประเทศไทยจะอนุโลมให้ใส่ชุดชั้นในเฉพาะของแต่ละออนเซ็นเข้าแช่ได้เพื่อป้องกันการขัดเขิน
แช่ออนเซ็นแค่ไหนถึงเรียกว่าบ่อย?
ในความเป็นจริงแล้วชาวญี่ปุ่นก็ไม่ได้แช่ออนเซ็นกันบ่อยนัก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สามารถแช่ออนเซ็นได้ตามเมืองใหญ่ หรือไม่ก็เขตชานเมืองริมเขาที่ไกลออกไปเท่านั้น ทำให้การเข้าแช่ออนเซ็นแต่ละครั้งนั้นมีราคาสูง โดยปกติ คนญี่ปุ่นจึงมีอีกวัฒนธรรมหนึ่งก็คือการแช่น้ำอุ่นหรือที่เรียกว่าเซ็นโตะ โดยในน้ำอุ่นนั้นอาจมีการนำผลไม้ หรือดอกไม้ใส่ลงไปเพื่อเพิ่มสรรพคุณ กลิ่นและความผ่อนคลาย การแช่เซ็นโตะนั้นเป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นมากกว่า บางครอบครัวอาจไปแช่ทุกอาทิตย์เลยทีเดียว
สำหรับการแช่ออนเซ็นนั้นไม่ควรจะแช่บ่อยจนเกินไปนัก แม้การแช่จะทำให้ร่างกายได้ปรับสมดุล ขับสารพิษ รับแร่ธรรมชาติที่เป็นประโยชน์เข้ามา แต่หากแช่มากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการไข้หวัดได้เนื่องจากร่างกายต้องปรับสภาพตามอุณหภูมิที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็วหลายๆ ครั้ง ดังนั้น ทาง Thaihand Massage จึงขอแนะนำว่าให้แช่ไม่เกินวันละ 3 ครั้ง แต่ละครั้งไม่ควรเกิน 10-30 นาที และในแต่ละสัปดาห์ไม่ควรเกิน 3 รอบ โดยสามารถอ่านกฎระเบียบและมารยาทการเข้าใช้บริการออนเซ็นที่ถูกต้องได้ที่นี่
เปรียบเทียบ 4 ออนเซ็นดังทั่วกรุงเทพฯ Yunomori, Panpuri, Let’s Relax, Kashikiri
ทีนี้ หลายๆ ท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วออนเซ็นแต่ละที่มันต่างกันยังไง ควรจะไปที่ไหนดี วันนี้ Thaihand Massage ขออนุญาตมาบอกเล่าเรื่องราวของแต่ละที่แบบละเอียดถี่ยิบ ไม่ว่าเค้าจะนำน้ำแร่มาจากที่ไหน มีกี่บ่อ ข้างในมีอะไรให้ทำบ้าง มีทั้งหมดกี่สาขา ราคาเท่าไหร่ และมีจุดเด่นยังไง ทุกท่านสามารถดูได้จากตารางเปรียบเทียบออนเซ็นในกรุงเทพแบบย่อข้างล่างนี้ หรือถ้ายังไม่หนำใจล่ะก็ เชิญอ่านรีวิวออนเซ็นแต่ละที่อย่างละเอียดกันได้เลยค่าาา
Yunomori Onsen & Spa: ออนเซ็นที่มากกว่าออนเซ็น ที่เดียวอยู่ได้ทั้งวัน
ขอเริ่มต้นที่แรกด้วยยูโนะโมริออนเซ็นแอนด์สปา (Yunomori Onsen & Spa) ซึ่งถือได้ว่าเป็นออนเซ็นแห่งแรกของเมืองไทย โดยคำว่า Yunomori นั้นมีความหมายว่า “บ่อน้ำแร่ในสวนธรรมชาติ” เพราะฉะนั้นการตกแต่งของที่นี่จึงเน้นไปที่โทนสีน้ำตาลจากไม้ โทนสีเขียวจากต้นไม้ใบหญ้า ให้ความรู้สึกเหมือนได้เข้าไปยังสวนสไตล์ญี่ปุ่นแสนร่มรื่นจริงๆ
ปัจจุบัน Yunomori Onsen & Spa มีถึง 3 สาขาในประเทศไทย ได้แก่
- สาขาสุขุมวิท 26 ที่โครงการ A Square (สามารถจอดรถได้ในโครงการ)
- สาขาสาทร 10 สามารถ เดินทางได้จาก BTS ช่องนนทรี (มีพื้นที่จอดรถเป็นของตนเอง)
- สาขาพัทยา (มีพื้นที่จอดรถเป็นของตนเอง)
เปิดให้บริการเวลา ทุกวัน 09.00 – 00.00 น. (ยกเว้นสาขาพัทยา ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการเฉพาะวันพฤหัสบดี – วันอาทิตย์ เวลา 11.00 – 22.00 น. )
จุดเด่นข้อแรกของยูโนะโมริออนเซ็นนั้น คือ ภายในมีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ไม่ใช่เฉพาะแต่การอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนเท่านั้น แต่ยังมีห้องพักผ่อนที่แสนสะดวกสบาย มีโซฟา มีปลั๊กไฟพร้อม ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่แบบรูฟท็อปที่มาพร้อมอาหารญี่ปุ่นสุดหรู ไม่ว่าจะเป็นแซลมอน เนื้อวากิว หรือจะเป็น ชา กาแฟ ขนมหวาน ก็มีครบ เรียกได้ว่ามาที่นี่ แค่ได้ใส่ชุดยูกาตะสวยๆ เดินเล่นถ่ายรูป พักผ่อน เข้าคาเฟ่ แค่นี้ก็ฟินแล้ว
จุดเด่นข้อต่อมาของ Yunomori Onsen คือ ด้วยความที่เป็นบ่อรวม แบ่งเพศชาย-หญิง และขนาดที่กว้างขวาง ทำให้ทางออนเซ็นนั้นบ่อให้ทุกท่านได้แช่ด้วยกันถึง 6 บ่อ อุณหภูมิโดยเฉลี่ย จะอยู่ที่ 38-43°c แต่ละบ่อนั้นนำน้ำแร่มาจากบ่อน้ำร้อนธรรมชาติจากจังหวัดระนอง ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งน้ำที่มีความบริสุทธิ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
โดยทุกบ่อใช้ระบบน้ำไหลเวียน เพื่อรักษาคุณภาพน้ำและความสะอาดให้คงไว้อยู่เสมอ ตัวน้ำแร่จากระนองนั้นมีสรรพคุณช่วยในเรื่องการคลายความเมื่อยล้า ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ บรรเทาอาการไข้หวัดอีกด้วย โดยทั้ง 6 บ่อนั้น ได้แก่
- บ่อโซดา (Soda Bath): เป็นนวัตกรรมที่ทางยูโนะโมริออนเซ็นนำมาใช้เป็นที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวคือ เป็นบ่อที่ปล่อยโมเลกุลคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดเล็กลงไปในน้ำปริมาณมากกว่า 1,000 ppm เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของออกซิเจนในเลือด ช่วยส่งเสริมระบบไหลเวียนโลหิต บำรุงเส้นผม ปรับสมดุล และช่วยในเรื่องการชะลอความแก่ ถือเป็นบ่อที่อุณหภูมิไม่สูงนัก อยู่ที่ 38-40 องศาเซลเซียส
- บ่อเจ็ท (Jet Bath): เป็นอ่างน้ำวนที่มีความยาวสำหรับการนอนแช่อย่างสบาย น้ำที่หมุนวนด้วยแรงดันอากาศจะช่วยนวดตัวผ่อนคลายความเครียด ลดความตึงปวดของกล้ามเนื้อและข้อ แถมฟองอากาศขนาดเล็กยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้อีกด้วย อุณหภูมิอยู่ที่ 40-42 องศาเซลเซียส
- บ่อเย็น (Cold Bath): กระชับรูขุมขนให้ความสดชื่น อุณหภูมิอยู่ที่ 17-18 องศา
- บ่อสวนธรรมชาติ (Garden Bath): เป็นบ่อรวมด้านนอก ในบรรยากาศสวนสุดผ่อนคลาย ทำให้อุณหภูมิผันแปรไปตามสภาพอากาศ ณ ขณะนั้น
- บ่อถังไม้ธรรมชาติ (Teak Bath): เป็นบ่อส่วนตัวสำหรับ 1 ท่าน อุณหภูมิอยู่ที่ 40-41 องศาเซลเซียส
- บ่อออนเซ็น (Onsen Bath): เป็นบ่อน้ำแร่ธรรมชาติที่ส่งตรงมาจากวัดวังขนาย จ.กาญจนบุรี มีอุณหภูมิอยู่ที่ 41-43 องศาเซลเซียส
โดยทาง Yunomori Onsen ได้แนะนำมาว่าให้เรียงลำดับการแช่ตามนี้ เพื่อให้ได้คุณประโยชน์จากแร่ธาตุอย่างเต็มประสิทธิภาพ: อาบน้ำ > Soda Bath (38-40 °c) > Jet Bath (40-42 °c) > Steaming > Cold Bath (17-18 °c) > Garden Bath (40-42 °c) > Teak Bath (40-42 °c) > Onsen Bath (41-43 °c)
นอกจากนี้ที่สาขาพัทยายังมีบ่อพิเศษอย่าง Silk Bath หรือบ่อไมโครบับเบิ้ลที่เต็มไปด้วยฟองอากาศขนาดเล็ก จะทำหน้าที่สัมผัสผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยขจัดสิ่งสกปรกในรูขุมขน ให้คุณรู้สึกสะอาดหมดจดและผ่อนคลาย ถือเป็นบ่อ Silk Bath แห่งแรกในประเทศไทยอีกด้วย
สุดท้าย ในเรื่องของราคานั้นยูโนะโมริออนเซ็น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ถือว่าเป็นหนึ่งในออนเซ็นที่ราคาถูกที่สุดในประเทศไทย ด้วยราคา Onsen Day Pass สำหรับผู้ใหญ่นั้นอยู่ที่เพียง 482 บาท นอกจากนี้ทั้งทางยูโนะโมริเอง และทาง ThaiHand Massage ยังมีโปรโมชันพิเศษทั้งสำหรับ Onsen Day Pass และโปรออนเซ็นพร้อมนวดอย่างสม่ำเสมอ หากท่านใดสนใจสามารถเข้าไปดูเมนู รูปภาพแต่ละสาขา และจองยูโนะโมริออนเซ็นได้ที่นี่
Panpuri Wellness: ออนเซ็นสุดหรูใจกลางกรุงเทพ พร้อมผลิตภัณฑ์สุดพรีเมียม
มาต่อกันที่รีวิวเปรียบเทียบ Panpuri Wellness ออนเซ็นสุดหรูบนชั้น 12 อาคารเกสรวิลเลจ (Gaysorn Village) สุดแสนจะเดินทางสะดวก ติด BTS ชิดลม โดยบรรยากาศจะแตกต่างจาก Yunomori Onsen อย่างสิ้นเชิง เพราะที่นี่จะเน้นความมินิมอล สะอาด หรูหรา ภายในจะประกอบไปด้วยห้องรับรองขนาดใหญ่ โซนนวด โซนคาเฟ่และร้านอาหารซึ่งจำหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพโดยเป็นออร์แกนิกเโซนพักผ่อนนอนชมวิว และโซนออนเซ็น เรียกได้ว่าครบครันไม่แพ้ที่ใด
โซนออนเซ็นของทาง Panpuri นั้นออกแบบโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่นชื่อดังอย่างโนบุฮิโระ นากามูระ (Nobuhiro Nakamura) แห่งบริษัทรับออกแบบชื่อดัง A-Asterisk ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกอย่างนั้นถูกหลักของประเทศต้นแบบอย่างแน่นอน โดยจะมีทั้งลักษณะของบ่อรวม แยกตามเพศ และบ่อส่วนตัวก็มีให้เลือกเช่นกัน
สำหรับเรื่องบ่อออนเซ็นนั้น ที่นี่ก็เรียกได้ว่าจัดเต็มสุดๆ เพราะแม้จะอยู่บนอาคารสูงเสียดฟ้า แต่ก็ยังให้มาถึง 5 บ่อ โดยจุดเด่นของที่นี่จะอยู่ที่
- บ่อซิกเนเจอร์ (Signature Bath) จะมีอุณหภูมิอยู่ที่ 37-41 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นบ่อน้ำแร่หลักที่นำน้ำแร่มาจากเมืองคุซัตสึ (Kusatsu) ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ของแหล่งน้ำแร่ออนเซ็นที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น มีสรรพคุณที่ช่วยในการบำบัดรักษาโรคหลากชนิด ช่วยในเรื่องอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งกระจ่างใสอีกด้วย
- นอกจากนี้ ยังมีบ่อตามฤดูกาล (Seasonal Bath) ที่จะสลับสับเปลี่ยนเอาน้ำแร่จากเมืองต่างๆในญี่ปุ่นมาให้ทุกท่านได้ลองแช่กันอีกด้วย
- บ่อโซดา (Soda Bath)
- บ่อน้ำเย็น (Cold Bath) อุณหภูมิอยู่ที่ 15-18 องศาเซลเซียส
- บ่อเจ็ท (Vitality Pool) ที่มีสรรพคุณช่วยการกระตุ้น ให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นและยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
ที่สำคัญ จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างก็คือวิวระดับล้าน เพราะเมื่อแช่ออนเซ้นแล้วมองผ่านกระจกออกไปจากตึกชั้น 12 นั้น ทุกท่านจะได้พบกับวิวย่านราชประสงค์ แต่ก็ไม่ต้องกลัวโป๊ต่อหน้าสาธารณะแต่อย่างใด เพราะเค้าทดสอบมาแล้วว่ากระจกจะมองออกไปจากภายในได้เท่านั้น ด้านนอกไม่สามารถมองเห็นภายในได้ ส่วนสำหรับใครที่ไม่อยากเปลือยในที่สาธารณะทาง Panpuri ก็มีชุดชั้นในแบบใช้แล้วทิ้งสำหรับทั้งชายและหญิงให้บริการเช่นกัน
โดยทาง Panpuri ก็ได้จัดลำดับการแช่ไว้ทั้งหมดถึง 4 แบบ ได้แก่ Deep Sleep, De-Strees, Energy Boost และ Clean Detox เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละท่านในแต่ละวัน ใครอยากได้ส่วนไหนก็ปรับได้เลย
Panpuri Wellness เปิดทำการทุกวันเวลา 10.00 -23.00 น. สำหรับราคา Onsen Day Pass ของทาง Panpuri นั้นโดยปกติจะอยู่ที่ 750 บาท ส่วนใครที่ต้องการบ่อส่วนตัวละก็ค่าบริการจะอยู่ที่ 1,800 บาท ต่อห้อง ต่อ 30 นาที แต่ถ้าใครอยากได้ราคาที่ดีกว่านั้นละก็อย่าลืมไลค์เพจเฟซบุ๊ก Thaihand ไว้เลย เพราะเราจะเตรียมโปรเด็ดไว้ตลอดปีอย่างแน่นอน
Let’s Relax Onsen Thonglor: ออนเซ็นรวมสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ด้วยฝีมือการนวดระดับ Let’s Relax
Let’s Relax Spa ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1998 โดยสาขาแรกอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันประสบความสำเร็จเป็น 1 ในสปาอันดับต้นๆ ของประเทศไทยทั้งยังให้บริการมากถึง 38 สาขาทั่วกรุงเทพฯ
สำหรับ Let’s Relax Onsen นั้นมีอยู่สาขาเดียวเท่านั้นนั่นคือสาขาทองหล่อ โดยตั้งอยู่ภายในโรงแรม Grande Center Point Sukhumvit 55 โดยสามารถจอดรถที่โรงแรมได้เลย หรือจะเดินทางมาด้วยรถ Shuttle Bus ของโรงแรมจากหน้า 7-11 ซอย 55 โดยลง BTS ทองหล่อทางออก 3 ก็ได้เช่นกัน รถจะวิ่งทุกๆ 20 นาที
ที่นี่เปิดทำการทุกวันตั้งแต่ 10.00 – 00.00 น. เลยทีเดียว เรียกได้ว่าแช่กันได้ยาวๆ ฟินๆ ยันเที่ยงคืน เหมาะสำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศ มาหลังเลิกงาน ไม่ต้องรีบกลับ โดยภายในจะมีทั้งหมดด้วยกันถึง 5 บ่อ อุณหภูมิโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 40-42 องศาเซลเซียส โดยเหล่าสายออนเซ้นมักจะบอกว่า Let’s Relax Onsen เป็นออนเซ็นที่น้ำแร่ค่อนข้างร้อนจริง เนื่องจากทำตามหลักธรรมเนียมของญี่ปุ่นแท้ๆ โดยนอกจากน้ำจะร้อนแล้ว ยังต้องถอดเสื้อผ้าทั้งหมด มีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กไว้ปิดเพียงจุดเล้กๆ เท่านั้น บ่อทั้ง 5 นั้นแบ่งออกเป็น
- บ่อน้ำแร่ธรรมชาติจากแหล่งน้ำเมืองเกโระ (Gero) จังหวัดทากายาม่า (Takayama) ที่อุณหภมิประมาณ 41-42 องศา โดยติดอันดับ 1 ใน 3 แหล่งน้ำแร่ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นเช่นกัน ตัวแร่มีสรรพคุณในเรื่องของความสวยความงาน เหมาะสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะในเรื่องของผิวพรรณ นอกจากนี้ยังช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดี
- บ่อซิลค์บาธ (Silk Bath) หรือบ่อฟองอากาศออกซิเจนขนาดเล็กเข้มข้น อุณหภูมิประมาณ 40 องศา ซึ่งช่วยในเรื่องทำให้ผิวนุ่มลื่น ชุ่มชื่น คลายความเมื่อยล้าต่างๆ
- บ่อโซดา (Soda Bath) ช่วยในเรื่องระบบหมุนเวียนเลือด ชะลอการแก่ก่อนวัย อุณหภูมิประมาณ 40 องศา
- บ่อน้ำวน (Whirlpool) ที่อุณหภูมิประมาณ 36 องศา ด้วยการพ่นฟองอากาศจากหัวเจ็ทให้ความรู้สึกเหมือนโดนนวดอยู่ตลอดเวลา
- บ่อน้ำเย็น (Cold Bath)
ภายในจะมีป้ายแนะนำลำดับการแช่ให้ได้ทำตามกันอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีห้องหินร้อน (Hot Stone Room) ที่มีความร้อนสูงถึง 45.5 องศาเซลเซียสปล่อยออกมาผ่านพื้นหินผสานเกลือหิมาลายัน พร้อมแร่ธาตึอีกกว่า 84 ชนิด เพียงนั่งเฉยๆ ในห้องนี้ คุณก็จะได้รับแร่ธ่ตุที่มีประโยชน์ช่วยในเรื่องระบบทางเดินหายใจ ผ่อนคลาย ทั้งยังทำให้หลับสบายอีกด้วย รวมไปถึงยังมีห้องซาวน่า ห้องอบไอน้ำและห้องพักผ่อนให้ทุกคนได้พักผ่อนร่างกายสลับกับการแช่ออนเซ็นอีกด้วย
ภายในโซนเก้าอี้พักผ่อนนั้นจะมีขนมทานเล่นอย่างทองม้วนรสกาแฟและรสมะพร้าวให้รับประทานฟรีพร้อมน้ำปล่าผสมผลส้ม ทั้งยังมีโซน Snak Bar ที่มีขายทั้งแซนวิช สลัด หรือแม้กระทั่งไอศครีม ทั้งยังมีเสิร์ฟอาหารมื้อเย็นสไตล์ญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นเซ็ตเบนโตะอย่างไก่เทอริยากิ แซลมอน โซบะต่างๆ โดยมีราคาตั้งแต่ 200-250 บาท
สำหรับราคา Onsen Day Pass ของ Let’s Relax นั้นจะอยู่ที่ 700 บาท เรียกได้ว่าไม่ถูกไม่แพงเนื่องด้วยโลเคชั่นใจกลางทองหล่อ ทำให้เดินทางได้สะดวก พร้อมน้ำแร่ส่งตรงจากญี่ปุ่น หากใครที่กำลังมองหาส่วนลดเด็ดๆ ปังๆ ของทาง Let’s Relax Onsen Thonglor ละก็สามารถคลิกเข้าไปดูโปรโมชันเด็ดๆ ผ่านทางหน้าเว็บ Thaihand Massage กันได้เลย
Kashikiri Onsen and Spa: ออนเซ็นส่วนตัวสไตล์ญี่ปุ่น สำหรับผู้รักความสันโดษ
สุดท้ายนี้ที่จะไม่กล่าวถึงก็คงไม่ได้กับ Kashikiri Onsen and Spa ออนเซ็นส่วนตัวสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ได้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นแบบสุดๆ แถมยังไม่ต้องโป๊ต่อหน้าสาธารณะอีกด้วย
ปัจจุบัน Kashikiri Onsen and Spa มีทั้งหมด 2 สาขา ได้แก่สาขาสุขุมวิท 49 (ทองหล่อ) และสุขุมวิท 101/1 (อุดมสุข) เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 – 22.30 น. และมีที่จอดรถของตนเองให้บริการทั้ง 2 สาขา
ด้วยความที่เป็นห้องส่วนตัวทำให้ทุกท่านจะได้บ่อออนเซ็นเพียง 1 บ่อไม้ ทางคาชิกิริมีทั้งห้องสำหรับส่วนตัว 1 ท่าน และส่วนตัว 2 ท่านสำหรับท่านที่มาเป็นคู่โดยจะเป็นลักษณะห้องเดี่ยวติดกัน (Connecting Room) ก่อนที่ทุกท่านจะเข้ามาในห้องนั้นพนักงานจะให้เลือกผงออนเซ็นโดยจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่
- ไวท์ รีบอร์น (White Reborn) จากเมืองคุสัทซึ (Kusatsu) 1 ใน 3 แหล่งน้ำที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น มีคุณสมบัติช่วยรักษาผดผื่น ภูมิแพ้ผิวหนัง ลดอาการอักเสบและสิว
- บลู เธอราพี (Blue Therapy) จากเมืองเบปปุ (Beppu) ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม เล็บและผมแข็งแรง
- และสุดท้ายโซดา ออนเซน (Soda Onsen) มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุล เพิ่มออกซิเจนในเลือด ทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก
หลังจากเลือกผงออนเซ็นที่ต้องการได้แล้ว พนักงานก็จะพาทุกท่นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามห้องแยกชายหญิง จากนั้นจึงพาไปยังห้องซึ่งจะประกอบไปด้วยโซนอาบน้ำ เป็นเก้าอี้ 2 ตัวและขันไม้ 1 อัน เรียกได้ว่าให้ฟีลลิ่งญี่ปุ่นแบบสุดๆ โดยข้อดีอีกอย่างของการมีบ่อออนเซ็นส่วนตัวก็คือการกำหนดอุณหภูมิของน้ำได้เองตามความต้องการ
การเข้าแช่ออนเซ็นของที่นี่จะไม่ได้เป็น Day Pass เหมือนที่อื่นๆ แต่เป็นราคา 700 บาทสำหรับ 45 นาที ในช่วง 5 นาทีสุดท้ายพนักงานจะมาเรียกเตรียมให้เราอาบน้ำ ออกมาทานอาหารว่าง
นอกจากนี้จริงๆ แล้วทาง Kashikiri Onsen and Spa ยังมีบริการนวดไทย นวดเท้า อโรมาอีกด้วย แว่วๆ มาว่าบริการทุกระดับประทับใจสุดๆ แถมที่สาขาสุขุมวิท 49 ยังมีโรงแรม Mayu Bangkok Hotel สไตล์เรียวกังที่อยู่ติดกันและมักจะมีโปรโมชันที่พักแถมฟรีออนเซ็นอีกด้วย เรียกได้ว่าใครโหยหาความเป็นญี่ปุ่น ที่นี่ตอบโจทย์มากๆ
สรุปการรีวิว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ออนเซ็นแต่ละเจ้านั้นก็มีสาขาและทำเลที่แตกต่างกันออกไปค่อนข้างคลอบคลุมโซนเมืองของทั้งกรุงเทพฯ โดยส่วนใหญ่แล้วทั้ง Yunomori, Panpuri, และ Let’s Relax นั้นก็มีกิจกรรมต่างๆให้ทำหลากหลาย มีบ่อให้สลับแช่ได้หลายบ่อ สามารถเข้าไปใช้บริการกันได้ยาวๆ
โดยที่ใครที่เป็นสายราคาประหยัด เน้นชุดสวย บรรยากาศปัง Yunomori Onsen & Spa ก็ดูจะเป็นที่ที่ตอบโจทย์ เพราะด้วยราคา Day Pass ที่ไม่ถึง 400 บาท แต่ได้แช่ออนเซ็นพร้อมพลังจากเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Jet Bath, Silk Bath รวมทั้งยังได้ใส่ชุดกิโมโนสวยๆ ถ่ายรูปในธีมญี่ปุ่นสุดมินิมอล แค่นี้ก็เรียกได้ว่าคุ้มเกินราคาไปมาก
ส่วนใครที่ชอบหรูหราหมาเห่า แช่ออนเซ็นพร้อมชมวิวระดับล้านบนชั้น 12 ของ Gaysorn Village ละก็ Panpuri Wellness คือคำตอบ เพราะทั้งบริการ การตกแต่ง โลเคชัน และผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ใช้ พูดได้เลยว่าไม่เป็นสองรองใครแน่นอน
สำหรับท่านไหนที่ต้องการสัมผัสฟีลคนญี่ปุ่นซาลารีมังแล้วละก็ แนะนำว่าต้องไปโดน Let’s Relax Onsen ซักครั้ง ที่นี่คนญี่ปุ่นเค้าการันตี ไปใช้บริการกันอยู่เรื่อยๆ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามธรรมเนียม ถอดจริง อะไรจริง
แต่ถ้าหากใครอยากลองถอดแล้ว แต่ยังไม่กล้าถอดต่อคนหมู่มาก ก็แนะนำให้เริ่มต้นกับ Kashikiri Onsen กันเสียก่อน จะไปเดี่ยว ไปเป็นคู่ หรือไปกับเพื่อนก็ได้หมด แม้ว่าจะราคารสูงขึ้นมาสำหรับการแช่ 45 นาที แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการแช่ 1 ครั้ง ทั้งยังได้บรรยากาศญี่ปุ่นแท้ๆ กับความเป็นส่วนตัวแบบสุดๆ ไปเลย
สุดท้ายนี้ หากใครอยากให้ทำรีวิวหรือเปรียบเทียบร้านนวด สปา ออนเซ็นที่ไหนอีกก็คอมเมนต์กันเข้ามาได้เลยนะ และไม่ว่าจะไปใช้บริการที่ไหน ก็อย่าลืมเข้ามาจองผ่าน ThaiHand Massage แพลตฟอร์มจองนวด สปา ออนเซ็นสุดปังที่รวบรวมร้านนวดและสปาน้ำดีไว้มากกว่า 130 ร้านทั่วประเทศไทยนะคะ ที่สำคัญเรามีโปรเด็ดให้ทุกท่านอยู่ตลอดทั้งปี ใครอดใจไม่ไหวแล้ว จิ้มปุ่มด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ!